ขนมไทยในโบราณ
วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ตามหลักฐานทางบทประพันธ์ของกาพย์เห่ชมเครื่องหวาน ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่2) ทรงประพันธ์ไว้ว่า
ช่อม่วงเหมาะมีรส หอมปรากฏกลโกสุม
คิดสีสไบคลุม หุ้มห่อม่วงดวงพุดตาน
การเปรียบเทียบรสชาติของขนมมีความหอมหวานดั่งดอกไม้ สีม่วงของขนมคล้ายสีดอกพุดตาน เหมือนกับสีสไบที่หญิงงามได้ห่มไว้
ขนมช่อม่วงจัดได้ว่าเป็นอาหารว่างของคนไทยมาแต่โบราณ เป็นอาหารว่างที่ต้องใช้ความประณีต ในการจับจีบตัวแป้งหลังการห่อหุ้มไส้แล้ว ด้วยแหนบทองเหลือง ให้มีลักษณะเป็นรูปดอกไม้ อาหารว่างชนิดนี้จึงมีลักษณะอ่อนหวาน นุ่มนวล แฝงไปด้วยความมีศิลปะของอาหารว่างไทยชาววัง ยิ่งรสชาติของไส้ที่มีเนื้อสัตว์ เช่น หมู กุ้ง ไก่ เป็นต้น มาผัดรวมกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย ทำให้ช่อม่วง เป็นอาหารว่างไทยที่มีเอกลักษณ์ครบถ้วน และควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้
ช่อม่วงสูตรนี้ เป็นสูตรของ ผู้ช่วยศาตราจารย์สมคิด ชมสุข อดีตรองคณะบดีคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ท่านเป็นอาจารย์ประจำสาขาอาหารและโภชนาการ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทย ขนมไทยและอาหารว่างไทย
สูตรช่อม่วง (อาหารว่างไทยโบราณ)
สำหรับ 100-120 ดอก (หากทำในปริมาณที่น้อยให้ลดสูตรลงมาครึ่งหนึ่ง)
วัตถุดิบช่อม่วง (อาหารว่างไทยโบราณ)
ส่วนผสมแป้ง
1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
2. แป้งท้าวยายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
3. แป้งมัน 1/2 ถ้วย (และเพิ่มเป็นแป้งนวล 1/2 ถ้วย)
4. แป้งข้าวเหนียว 2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำเปล่าหรือน้ำอัญชัน 1 1/2 ถ้วย
6. น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
7. กระเทียมเจียว
8. กระเทียมสับละเอียด 1 ถ้วย
9. น้ำมันพืช 1 ถ้วย
ส่วนผสมไส้ไก่
1. เนื้อไก่สับละเอียด 1 ถ้วย
2. น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
3. หอมใหญ่สับละเอียด 1 ถ้วย
4. น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
5. รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลา 3-4 ช้อนโต๊ะ
7. กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ
8. เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
9. พริกไทยป่น 2 ช้อนชา
10. น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำช่อม่วง (อาหารว่างไทยโบราณ)
วิธีทำส่วนแป้ง
1. นำแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน แป้งท้าวยายม่อม แป้งข้าวเหนียว นวดรวมกับน้ำอัญชัน ค่อยๆใส่จนหมด ใส่น้ำมันคนให้เข้ากัน
2. นำไปกวนในกระทะทองเหลือง พอแป้งเริ่มจับเป็นก้อนไม่ติดกระทะ นำไปนวดกับแป้งนวล
3. แบ่งแป้งเป็นก้อนเท่าๆกัน แผ่ใส่ไส้หุ้มให้มิด จับเป็นดอกโดยใช้แหนบจีบ
4. นำไปนึ่งในลังถึงปูใบตองทาน้ำมันประมาณ 5 นาที ยกลง พรมด้วยน้ำมันกระเทียมเจียว
5. จัดเสิร์ฟกับผักกาดหอม และพริกขี้หนู
วิธีทำส่วนไส้
1. โขลกรากผักชี กระเทียม พริกไทย ให้ละเอียด
2. ตั้งน้ำมันพอร้อน ใส่รากผักชี กระเทียม พริกไทยลงผัดให้หอม
3. ใส่ไก่ หอมใหญ่ ผัดให้เข้ากัน
4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือ พอแห้งดีชิมรสหวาน เค็ม ยกลงทิ้งไว้ให้เย็น
หมายเหตุ
ในสูตรนี้ ได้ประมาณ100-120ดอก หากทำในปริมาณที่น้อยให้ลดสูตรลงมาครึ่งหนึ่ง
ที่มา www.foodtravel.tv/recfoodShow
ขนมไทยของภาคกลาง
ขนมไทยภาคกลาง ส่วนใหญ่ทำมาจากข้าวเจ้า เช่น ข้าวตัง นางเล็ด ข้าวเหนียวมูล และมีขนมที่หลุดลอดมาจากรั้ววัง จนแพร่หลายสู่สามัญชนทั่วไป เช่น ลูกชุบ หม้อข้าวหม้อแกง ฝอยทอง ทองหยิบ เป็นต้น
ขนมไทยภาคอีสาน เป็นขนมที่ทำกันง่ายๆ ไม่พิถีพิถันมากเหมือนขนมภาคอื่น ขนมพื้นบ้านอีสานได้แก่ ข้าวจี่ บายมะขามหรือมะขามบ่ายข้าว ข้าวโป่ง นอกจากนั้นมักเป็นขนมในงานบุญพิธี ที่เรียกว่า ข้าวประดับดิน โดยชาวบ้านนำข้าวที่ห่อใบตอง มัดด้วยตอกแบบข้าวต้มมัด กระยาสารท ข้าวทิพย์ ข้าวยาคู ขนมพื้นบ้านของจังหวัดเลยมักเป็นขนมง่ายๆ เช่น ข้าวเหนียวนึ่งจิ้มน้ำผึ้ง ข้าวบ่ายเกลือ คือข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนจิ้มเกลือให้พอมีรสเค็ม ถ้ามีมะขามจะเอามาใส่เป็นไส้เรียกมะขามบ่ายข้าว น้ำอ้อยกะทิ ทำด้วยน้ำอ้อยที่เคี่ยวจนเหนียว ใส่ถั่วลิสงคั่วและมะพร้าวซอย ข้าวพองทำมาจากข้าวตากคั่วใส่มะพร้าวหั่นเป็นชิ้นๆ และถั่วลิสงคั่ว กวนกับน้ำอ้อยจนเหนียวเทใส่ถาด ในงานบุญต่างๆจะนิยมทำขนมปาด (คล้ายขนมเปียกปูนของภาคกลาง) ลอดช่อง และขนมหมก (แป้งข้าวเหนียวโม่ ปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้กระฉีก ห่อเป็นสามเหลี่ยมคล้ายขนมเทียน นำไปนึ่ง)
อ้างอิง
|
ขนมไทยภาคเหนือ
ส่วนใหญ่จะทำจากข้าวเหนียว และส่วนใหญ่จะใช้วิธีการต้ม เช่น ขนมเทียน ขนมวง ข้าวต้มหัวหงอก มักทำกันในเทศกาลสำคัญ เช่นเข้าพรรษา สงกรานต์
ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือยทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้ม
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่ ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด
ขนมที่นิยมทำในงานบุญเกือยทุกเทศกาลคือขนมใส่ไส้หรือขนมจ๊อก ขนมที่หาซื้อได้ทั่วไปคือ ขนมปาดซึ่งคล้ายขนมศิลาอ่อน ข้าวอีตูหรือข้าวเหนียวแดง ข้าวแตนหรือข้าวแต๋น ขนมเกลือ ขนมที่มีรับประทานเฉพาะฤดูหนาว ได้แก่ ข้าวหนุกงา ซึ่งเป็นงาคั่วตำกับข้าวเหนียว ถ้าใส่น้ำอ้อยด้วยเรียกงาตำอ้อย ข้าวแคบหรือข้าวเกรียบว่าว ลูกก่อ ถั่วแปะยี ถั่วแระ ลูกลานต้ม
ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขนมพื้นบ้านได้แก่ ขนมอาละหว่า ซึ่งคล้ายขนมหม้อแกง ขนมเปงม้ง ซึ่งคล้ายขนมอาละหว่าแต่มีการหมักแป้งให้ฟูก่อน ขนมส่วยทะมินทำจากข้าวเหนียวนึ่ง น้ำตาลอ้อยและกะทิ ในช่วงที่มีน้ำตาลอ้อยมากจะนิยมทำขนมอีก 2 ชนิดคือ งาโบ๋ ทำจากน้ำตาลอ้อยเคี่ยวให้เหนียวคล้ายตังเมแล้วคลุกงา กับ แปโหย่ ทำจากน้ำตาลอ้อยและถั่วแปยี มีลักษณะคล้ายถั่วตัด
อ้างอิง
วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556
เสน่ห์ของขนมไทย
"ขนมไทย" มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมของความเป็นไทย นอกจากจะมีความงดงามวิจิตร ละเอียดอ่อน พิถีพิถันในทุกขั้นตอนการทำแล้ว ยังมีรสชาติที่อร่อย หอมกลิ่นพืชพรรณจากธรรมชาติ และกลิ่นอบร่ำควันเทียน อีกทั้งขนมแต่ละชนิดยังมีชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงคุณค่า และแฝงไปด้วยความหมายอันเป็นสิริมงคล
ขนมไทย ไม่ปรากฏอย่างแน่ชัดว่าเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็ยังมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีย่านป่าขนมภายในกำแพงเมือง ซึ่งเป็นแหล่งรวมขนมโดยเฉพาะ อาทิเช่น ขนมกงเกวียน ขนมสำปันนี ขนมชะมด
สมัยสุโขทัย : จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศคือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการและเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหาร การกินร่วมไปด้วย
สมัยอยุธยา : เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"
"มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่นานนัก เธอเป็นภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น
ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลอง
พระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทอง พระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้
ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิด ให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"
ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ : ตั้งแต่รัชสมัยรัชกาลที่ 1 มีการแบ่งอาหารออกเป็นของคาวและของหวาน รวมถึงยังมีกาพย์เห่เรือชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 ขนมไทยแต่ละชนิดจึงมีเรื่องราวที่น่าสนใจ และเปี่ยมเสน่ห์ในตัวเอง
ในสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี กล่าวไว้ว่าในงานสมโภชพระแก้วมรกตและฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้มีเครื่องตั้งสำรับหวานสำหรับพระสงฆ์ 2,000 รูป ประกอบด้วย ขนมไส้ไก่ ขนมฝอย ข้าวเหนียวแก้ว ขนมผิง กล้วยฉาบ ล่าเตียง หรุ่ม สังขยา ฝอยทอง และขนมตะไล
ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการพิมพ์ตำราอาหารออกเผยแพร่ รวมถึงตำราขนมไทยด้วย จึงนับได้ว่าวัฒนธรรมขนมไทยมีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ตำราอาหารไทยเล่มแรกคือแม่ครัวหัวป่าก์ เขียนโดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ในหนังสือเล่มนี้ มีรายการสำรับของหวานเลี้ยงพระได้แก่ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง ขนมหันตรา ขนมถ้วยฟู ขนมลืมกลืน ข้าวเหนียวแก้ว วุ้นผลมะปราง
จะเห็นได้ว่า ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ
ขนมไทย จึงเป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานสิริมงคล ต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ที่มา:http://www.oknation.net/blog/supawan/2012/08/25/entry-1
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
จีบตัวนก ขนมจีบไทย
อาหารว่างไทยโบราณอีกหนึ่งชนิดที่หลายๆคนไม่เคยได้ยินชื่อ หรือหาทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน ขนมจีบไทยที่นำแป้งมากวนจนปั้นเป็นก้อน ปั้นให้เป็นรูปทรงตัวนกแล้วจับจีบรอบลำตัว ตัวไส้เป็นเนื้อไก่สับ เหมาะสำหรับทำกินเล่นหรือทำในงานเลี้ยงต่างๆ เนื่องจากรูปร่างที่น่ารักสวยงาม
สูตรอาหารจีบตัวนก ขนมจีบไทย
ระยะเวลาทำ 1 ชม.
เครื่องปรุงจีบตัวนก ขนมจีบไทย
ส่วนผสมแป้ง (ใช้ถ้วยตวงแห้ง)
1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
2. แป้งท้าว 1 ช้อนโต๊ะ
3. แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำ 1 ถ้วย
ส่วนผสมไส้
5. อกไก่ (นึ่งสุก-แยกน้ำเก็บไว้-สับละเอียด) 250 กรัม
6. ถั่วลิสง (คั่ว-ร่อน-โขลกละเอียด) 1/2 ถ้วย
7. หอมใหญ่ (หั่นชิ้นเล็กๆ ละเอียด) 1/2 ถ้วย
8. รากผักชี กระเทียม พริกไทย โขลกละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
9. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
10. เกลือ 2-3 ช้อนชา
11. น้ำมันสำหรับผัด 1/2 ถ้วย
โรยหน้าและผักเคียง
12. กระเทียม (สับ-เจียว) 1/2 ถ้วย
13. ผักชี
14. ผักกาดหอม
15. พริกขี้หนู
วิธีทำจีบตัวนก ขนมจีบไทย
1. กะทะทองใส่ แป้งข้าวจ้าว แป้งท้าว แป้งมัน น้ำผสมกัน ตั้งไฟกลาง กวนจนแป้งสุกใส ตักขึ้นมานวดจนนิ่ม ใช้แป้งมันทำแป้งนวล (กันติดมือ แต่ถ้ามากไปแป้งจะแข็ง) แบ่งแป้งปั้นเป็นก้อนกลม ใส่ถุงพักไว้
2. กะทะใส่น้ำมันผัดเครื่องโขลก (รากผักชี กระเทียม พริกไทย) จนหอม ใส่น้ำซุปที่นึ่งไก่ (เล็กน้อย) หอมสับ อกไก่สับ ผัดให้เข้ากัน จนสุก ปรุงรส น้ำตาลทราย เกลือ ให้มีรสเค็มนำ หวานตาม ผัดให้ตะหลิวยีๆ กดๆ
3. แป้งก้อนกลม ขึ้นเบ้า แผ่ออก ใส่ไส้ หุ้มให้มิด เหลือส่วนหัวไว้ ใช้ที่จับจีบรอบตัว (เอาที่จีบจุ่มแป้งมันกันติดเวลาหนีบ) ส่วนหัวนกติดงาดำทำเป็นตา ปากให้แครอทเสียบ วางเรียงในรังถึงปูใบตองทาน้ำมัน พรมน้ำก่อนนำไปนึ่งไฟแรง 5 – 8 นาที จนสุก จัดใส่จานทานกับผักกาดหอม ผักชี พริกขี้หนู กระเทียมเจียว
ที่มา www.foodtravel.tv